วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

มติ ครม. วันที่ 21 ก.ย.53 เกี่ยวกับ หนึ่งมหาวิทยาลัยหนึ่งจังหวัด

วันนี้ เมื่อเวลา 09.00. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ชั้น 2 สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี

จากนั้น นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายมารุต มัสยวาณิช รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงข่าวผลการประชุมคณะรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้ (http://www.thaigov.go.th)

สังคม

19. เรื่อง แนวทางการส่งเสริมอุดมศึกษาร่วมสร้างประเทศไทยน่าอยู่

19. เรื่อง แนวทางการส่งเสริมอุดมศึกษาร่วมสร้างประเทศไทยน่าอยู่

คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาเสนอ ทั้ง 3 ข้อ ดังนี้

1. ให้ความเห็นชอบแนวทางการส่งเสริมอุดมศึกษาร่วมสร้างประเทศไทยน่าอยู่ และให้กระทรวง

ศึกษาธิการและสถาบันอุดมศึกษาใช้เป็นแนวทางหลักร่วมกัน เพื่อสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่

2. ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณสนับสนุนกิจกรรมตามแนวทางการส่งเสริมอุดมศึกษาร่วมสร้างประเทศน่าอยู่ตามความเหมาะสม

3. ให้กระทรวง ทบวง กรม และองค์กรอิสระต่างๆ ที่เกี่ยวข้องรับทราบและให้ความร่วมมือ สนับสนุน ส่งเสริมการดำเนินการของสถาบันอุดมศึกษาตามภารกิจดังกล่าว

สาระสำคัญของเรื่อง

กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) รายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้ศึกษาวิเคราะห์ผลจากการประชุมระดมความคิดเห็นเรื่องประเทศไทยน่าอยู่ เมื่อวันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม 2553 โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ร่วมกับคณะกรรมการเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชนแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และสกอ. โดยมีผู้บริหารจากมหาวิทยาลัยของรัฐ มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ มหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล และมหาวิทยาลัยเอกชนร่วมกันให้ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะที่จะช่วยแก้ปัญหาวิกฤตของชาติ โดยสนับสนุนแนวทางการดำเนินงานตามแผนปรองดองแห่งชาติ ที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไปแล้วเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2553 และกรอบแผนอุดมศึกษาระยะยาว 15 ปี ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2551-2565) ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบหลักการแล้ว เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2551 และได้จัดทำข้อเสนอแนวทางการส่งเสริมอุดมศึกษาร่วมสร้างประเทศไทยน่าอยู่ มีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้

1. เป้าประสงค์

ส่งเสริมบทบาทสถาบันอุดมศึกษาให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมและร่วมเป็นแกนหลักของแต่ละพื้นที่ในกระบวนการสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยการพัฒนาให้มีสายงานวิชาการรับใช้สังคม (social impact) พัฒนาระบบการผลิตกำลังคนของประเทศที่มีอุดมการณ์เพื่อส่วนรวมและมีความเป็นพลเมือง และมีการให้บริการวิชาการที่มาจากการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นและสอดคล้องกับแผนพัฒนาพื้นที่

2. พันธกิจ

2.1 พัฒนาสายวิชาการเพื่อรับใช้สังคม (social impact) และสร้างกระบวนการให้เกิดการยอมรับในวงการวิชาการในประเทศและนานาชาติ

2.2 สถาบันอุดมศึกษาทุกประเภททุกแห่งร่วมดูแลพื้นที่กับองค์กรหรือหน่วยงานส่งเสริมการพัฒนาและกำหนดเป็นตัวชี้วัดของทุกสถาบันอุดมศึกษา

2.3 ส่งเสริมขบวนการนักศึกษาให้มีอุดมการณ์เพื่อส่วนรวม มีส่วนร่วมในการแก้วิกฤตของประเทศและการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น และมีความเป็นพลเมือง

3. ยุทธศาสตร์ 3.1 พัฒนาวิชาการสายรับใช้สังคม 3.2 หนึ่งมหาวิทยาลัยหนึ่งจังหวัด 3.3 จัดตั้ง ศูนย์จัดการความรู้เพื่อพัฒนาจังหวัดในทุกสถาบันอุดมศึกษา 3.4 การสร้างความเป็นพลเมืองของนิสิตนักศึกษา 3.5 การสร้างบรรยากาศเพื่อการปรับตัวของสถาบันอุดมศึกษา

4. ผลลัพธ์ที่เกิดจากการดำเนินการ ดังนี้

4.1 ทางตรง

- บัณฑิตมีคุณภาพ มีประสบการณ์จริงในการทำงาน กับชุมชนและท้องถิ่น มีความตระหนัก และเข้าใจสามารถแก้ไขปัญหาพื้นฐานของชุมชนและท้องถิ่น และสามารถปรับตัวเข้ากับการทำงานในท้องถิ่น

- บัณฑิตมีความเป็นพลเมืองมีสมรรถนะในการคิด วิเคราะห์ รู้จักการสังเคราะห์ข้อมูลข่าวสารที่มาจากแหล่งต่างๆ ได้อย่างมีเหตุผล มีจิตอาสา มีความสามารถในการสร้างงานและสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน สังคม และประเทศ ซึ่งนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำในสังคม รู้จักการทำงานในเครือข่ายกับท้องถิ่นระดับจังหวัดและระดับประเทศ

- ชุมชน ท้องถิ่น จังหวัด กลุ่มจังหวัด มีกิจกรรมเรียนรู้ร่วมกับนักศึกษาหรือบัณฑิต มีการนำเทคโนโลยีที่ได้รับการปรับแปลงให้เหมาะสมที่จะประยุกต์ใช้ทั้งด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมในท้องถิ่น มีนักศึกษาและครูอาจารย์มาร่วมแก้ไขปัญหาในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง สนับสนุนการเพิ่มขึ้นของรายได้ต่อครัวเรือน

4.2 ทางอ้อม

- มหาวิทยาลัยสามารถปฏิรูปบทบาทและหน้าที่ในการพัฒนาวิชาการที่รับใช้สังคมเป็นหลัก ควบคู่กับบทบาทในการเป็นผู้นำทางวิชาการในระดับประเทศ มีการเชื่อมโยงองค์ความรู้จากท้องถิ่นสู่ระดับชาติและระดับสากล

- มหาวิทยาลัยสามารถผลิตบัณฑิตที่มีความเป็นพลเมือง เคารพกติกาสังคมภายใต้ การปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

- สังคม ชุมชน ทุกภูมิภาคมีความเท่าเทียมกัน เกิดความเป็นธรรมในการรับบริการการศึกษาจากรัฐ เป็นการขจัดความไม่เป็นธรรมในสังคม ลดช่องว่างในสังคม เป็นสังคมที่อยู่เย็นเป็นสุข มีความเอื้ออาทรต่อกัน ยอมรับในความแตกต่าง

วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

โครงการนำโคกระบือกลับอีสานบ้านของเรา

(ร่าง)

โครงการนำโคกระบือกลับอีสานบ้านของเรา

หลักการและเหตุผล

สืบเนื่องจากประเทศไทยของเราเป็นประเทศเกษตรกรรมที่มีจำนวนเกษตรกรโดยเฉพาะชาวนามีจำนวนมากที่เป็นกระดูกสันหลังของชาติในการผลิตข้าวเพื่อหล่อเลี้ยงประชาชนชาวไทยตลอดจนส่งข้าวเลี้ยงประชาคมชาวโลก ที่ผ่านมานั้นการผลิตข้าวของชาวนาได้มีการเปลี่ยนแปลงไปโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยไม่ว่าจะเป็น การใช้เครื่องมือวิศวเกษตรกรรม อุปกรณ์ทันสมัยที่ใช้พลังงานน้ำมัน การใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะเป็นว่าการเปลี่ยนแปลงที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ นั้น ล้วนเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมทำให้เกิดผลเสียในหลายๆ ด้าน ทั้งนี้ ในอดีตของชาวนาไทยนั้นต่างใช้วิถีการทำนาโดยธรรมชาติ ใช้โคให้ในการคาดไถพื้นดิน ใช้ปุ๋ยจากมูลของโคหรือที่หาได้จากธรรมชาติ ในปัจจุบันนั้นวิถีดังกล่าวได้ค่อยๆ เลือนหาย การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการทำนาจำเป็นจะต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก หากชาวนารายใดไม่มีทรัพย์สินเงินทองก็จะเป็นการจ้างเหมาผู้ที่มีเครื่องมืออุปกรณ์ เช่น การจ้างรถยนต์ปักดำต้นกล้า การจ้างรถยนต์เกี่ยวข้าว เป็นต้น ชาวนาที่ไม่มีเงินทองก็จำเป็นจะต้องกู้ยืมจากผู้ให้กู้ในระบบ (ธนาคารเกษตรและสหกรณ์) หรือผู้ให้กู้นอกระบบ ซึ่งบางฤดูกาลฝนฟ้าไม่เป็นใจชาวนาก็ต้องชอกซ้ำระกำใจเพราะได้การผลการผลิตที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

ด้วยเหตุนี้ ถ้าเราทุกคนในประเทศไทยของเรามาช่วยกันกลับคืนวิถีชีวิตที่ดั่งเดิมของชาวนาไทยกลับคืนสุ่วิถีของธรรมชาติความพอเพียงตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทยให้น้อมนำไปปฏิบัติในด้านต่างๆ ดังนั้น โครงการนำโคกระบือกลับบ้านเรา จะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการธนาคารโคกระบือของกรมปศุสัตว์ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเป็นการถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันจะนำมาซึ่งประโยชน์ต่อผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็น นักเรียน นักศึกษา ได้เรียนรู้วิถีชีวิตชาวนา ชาวนาเกษตรกรได้กลับคืนสู่การทำนาที่ประหยัดต้นทุนต่ำสามารถที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้น อีกทั้งจะเป็นการสร้างเพื่อสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนหันมาอนุรักษณ์ควายไว้ใช้ในการเกษตรทำนาทำไร่ไถนา พร้อมไถ่ชีวิตโคกระบือสร้างความสัมพันธ์สานใยระหว่างผู้บริจาคและผู้รับบริจาค ทั้งนี้ มอบให้เกษตรกรยืมเลี้ยงเพื่อการผลิต มีการติดตามผลประเมินผลการนำไปใช้เพื่อการผลิต พร้อมทั้งมีการจัดทำระบบฐานข้อมูลโคกระบือในโครงการนี้ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

วัตถุประสงค์

. เพื่อสร้างจิตสำนึกร่วมกันในการกลับคืนสู่วิถีของธรรมชาติ โดยเป็นการส่งเสริมอนุรักษ์โคกระบือไทยให้ระบือไปทั่วโลก

. เพื่อให้นักเรียน นักศึกษาได้ตระหนักถึงความสำคัญของเกษตรกรรมไทยตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

. เพื่อส่งเสริมให้มีความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับชาวนาเกษตรกรเพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศไทยให้มีความยั่งยืนด้านการทำนา

ผู้รับผิดชอบและหน่วยงานที่รับผิดชอบ

. สโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี วิทยาเขตมุกดาหาร

. กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (จังหวัดมุกดาหาร)

. องค์การบริหารส่วนจังหวัดมุกดาหาร และเทศบาลตำบลมุกดาหาร

. ชาวไทยทุกคนที่รักโคกระบือ

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

. ทำให้เกิดการสำนึกถึงคุณประโยชน์ของโคกระบือไทยที่มีต่อเกษตรกรรมของไทย

. ทำให้ทุกคนทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ในการทำนา

. ทำให้เกิดความเข้าใจความสัมพันธ์อันดีระหว่างสถานศึกษากับเกษตรกร

. ทำให้เป็นการไถ่ชีวิตของโคกระบือเพื่อเป็นการถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

สถานที่ดำเนินการ

ณ ภูผาเจีย (มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี วิทยาเขตมุกดาหาร) ในพื้นที่จำนวนประมาณ ๕๐ ไร่

งบประมาณที่ใช้ดำเนินการ

. รับบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธาในการไถ่ชีวิตโคกระบือ

. เงินสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดมุกดาหาร และ เทศบาลตำบลมุกดาหาร

. เงินสนับสนุนจากองค์กรอื่นๆ ที่เห็นความสำคัญของโคกระบือไทย

วิธีการดำเนินงาน

. สำรวจเกษตรกรที่มีความต้องการโคกระบือ และทำการลงทะเบียนด้วยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ

. รับบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธาเพื่อไถ่ชีวิตโคกระบือจากโรงเชือด

. ในกรณีที่มีจำนวนโคกระบือที่กลับคืนสู่บ้านเรามากกว่าจำนวนความต้องการของเกษตรกร จะทำโคกระบือฝึกฝนไว้ที่ ภูผาเจีย (มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี วิทยาเขตมุกดาหาร)

. ทำการเก็บข้อมูลจากเกษตรกรเกี่ยวกับโคกระบือที่ได้นำไปฝากเพื่อทำประโยชน์ เพื่อจัดทำฐานข้อมูลภูมิศาสตร์สารสนเทศ สำหรับพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อเชิงนโยบายเสนอต่อรัฐบาล

หมายเหตุ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้จะต้องมีจุดเริ่มต้น ถึงจะสามารถเดินทางไปหาจุดอื่นๆ ได้ โดยเฉพาะเป้าหมายปลายทางที่ทุกคนตั้งใจร่วมกัน

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

เพลงสร้างจิต เรียนรู้ได้จริงหรือ? (ท่านโสภณ สุภาพงษ์)

วันนี้ วันศุกร์ที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๓ ท่านโสภณ สุภาพงษ์ (กรรมการสภามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี) ได้ให้เกียรติมาบรรยายพิเศษในหัวข้อ มหาวิทยาลัยที่มีชีวิต พร้อมจิตใจ ตอน เพลงสร้างจิต เรียนรู้ได้จริงหรือ? ผมได้พยายามสรุปจากการบรรยายของท่านโสภณ เพื่อถ่ายทอดให้นักศึกษา อาจารย์ และเจ้าหน้าที่วิทยาเขตมุกดาหาร ได้รับทราบเพื่อนำไปฝึกฝนปฏิบัติ ดังนี้
จักรวาลที่เกิดขึ้นมานานแล้วนั้นมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ต้องการมีตัวกลางในการติดต่อสื่อสาร ทั้งนี้ เพราะจักรวาลสามารถติดต่อกันได้โดยไม่มีสื่อกลาง โดยที่สภาพของจักรวาลมีสภาพที่เป็นหนึ่งเดียว ที่มีรู้สึกเหมือนกัน สิ่งหนึ่งเกิดแห่งหนึ่งจะสื่อสารกันได้ในอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ที่อาจจะเรียกว่า มีลักษณะที่พัวพันกันอย่างแยกไม่ออก ที่เราเห็นสิ่งต่างๆ นั้นเพราะว่า แสงเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้เราเห็นสิ่งต่างๆ วิ่งเข้ามาหาดวงตาเรา เราเห็นดวงจันทร์เพราะการเดินทางของแสงโดยใช้เวลา ๑.๒ วินาที่ และเห็นดวงอาทิตย์ใช้เวลา ๘.๓๑ วินาที จะเห็นว่าภาพที่เห็นนั้นเป็นภาพอดีตของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ที่เราเห็น ตามทฤษฎีของนักวิทยาศาสตร์ไม่มีอะไรที่เร็วกว่าแสง แต่ทุกวันนี้เริ่มมีคนค้นพบว่า มีสิ่งที่เร็วกว่าแสงที่มีคุณสมบัติคล้าย จิต ดังนั้น หากเรามีจิตที่บริสุทธิ์ เราจะสามารถดูอดีตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตตอนใกล้จะดับจะมีความเร็วกว่าแสง ซึ่งทำให้เราหรือคนๆ นั้น ได้เห็นอดีต
จิตเป็นเรื่องที่เกิดมาพร้อมกับจักรวาลเมื่อตั้งแต่เแรกเริ่ม โดยที่จักรวาลนี้มีคลื่นเกิดขึ้นมาพร้อมกับพลังงาน คลื่นนั้นมีหลายประเภท หลายชนิด ให้อุณหภูมิพลังงานที่แตกต่างกันไป แต่กล่าวสำหรับคลื่นบางอย่างที่นักวิทยาศาสตร์อาจจะไม่รู้ แต่พระพุทธเจ้าได้ค้นพบคลื่นที่พระพุทธเจ้ารู้ สัมผัสได้นั้น เป็นเรื่องที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คลื่นของจิต จิตมันมาของมันเอง แต่ร่างกายมาอาศัยจิตอยู่ เมื่อร่างกายผุพังไป จิตก็จะกลับไปสู่ที่เดิมที่เริ่มต้น และจิตก็ไปหาที่ใหม่ร่างกายใหม่
จิต กับ ความคิด เป็นคนละเรื่อง การแยกจิตและความคิดจะต้องใช้สมาธิเข้ามาช่วยในการแยก โดยการทำสมาธิอาจจะได้เสียงเพลงที่มีลักษณะคลื่นความถี่ต่ำ
โดยปกติการเรียนรู้ควรจะต้องเรียนรู้ด้วยจิต ไม่ใช้เรียนรู้ด้วยสมอง เพราะคนเราเมื่อประมาณอายุ ๒๕ ปี สมองที่ไม่ได้ใช้งานจะถูกทำลายไปบางส่วน ดังนั้น การใช้จิตที่มีสติสมาธิจะช่วยในการเรียนรู้ทำให้สมองกลับมามีประสิทธิภาพในการทำงานมากยิ่งขึ้น สมอง เป็นอวัยวะที่ต้องการพลังงานอยากมากเพื่อไปหล่อเลี้ยงในการทำงาน เมื่อเราทำงานมากและคิดหนักด้วยการใช้สมองมาก เราจะก็เกิดความหิวกินมากไปด้วย ทำให้ร่างกายอาจจะอ้วนได้
ขอกลับมาเรื่องของจักรวาล สิ่งที่เกี่ยวข้องที่สำคัญ คือ ในโลกนี้จักรวาลนี้ อยู่ภายใต้กฎ ที่เรียกว่า กฎธรรมชาติ กฎสมมติ ไม่ได้อยู่เหนือ กฎธรรมชาติ การเข้าใจเข้าถึงกฎธรรมชาติ เป็นเรื่องที่เราทุกคนจะต้องทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งอย่างแท้จริง กฎธรรมชาติ นั้น เราไม่สามารถเปลี่ยนปรอท เป็น ทอง ไม่ได้ แต่ เราสามารถเปลี่ยนน้ำสกปรก เป็น น้ำบริสุทธิ์ไได้ เพราะ ธรรมชาติของน้ำบริสุทธิ์ โดยเฉพาะธรรมชาติของจิตสะอาดมาก่อน บริสุทธิ์ ดังนั้น การจะทำจิตให้บริสุทธิ์สามารถทำได้โดยการฟังเพลงสวด (ที่มีความถี่ต่ำ)และโดยการให้ความช่วยเหลือผู้อื่น เราจะพบสภาวะที่บริสุทธิ์ จิตจะขจัดสิ่งที่ไม่ดีออก และเราจะพบจิตดั่งเดิมที่บริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับจักรวาล จิตมีพลังงานเป็นคลื่น โดยถ้าเรามีชีวิตที่อยู่ในสายคลื่น (ไฟฟ้า) ที่มีความมุทิตา เป็นคลื่นไฟฟ้าในสมอง ความถี่ต่ำ จะพบความจริงแท้ พบความชื่นใจ พบความกรุณา
ดังนั้น เราสามารถใช้จิตเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้เช่นกัน เพราะอย่างที่กล่าวแล้วว่า จิต เป็นสิ่งที่มีพลังงาน โดยเฉพาะถ้าเป็นจิตที่บริสุทธิ์ โดยสามารถเป็นสูตรตามหลักวิทยาศาสตร์ ได้ตามนี้
Courage Change Transformations
สละกิเลส (สละการยึดถือตัวเอง) เปลี่ยนพื้นฐานทางจิตใจ
การเปลี่ยนแปลง C = D x T x M x P > F (fear)
Dissatisfaction ความไม่สมใจ ไม่พอใจ ในสถานะที่เป็นอยู่ เกิดความทุกข์ (ถ้ามีความสุข รับรองได้ว่าจะไม่เปลี่ยน) ความทุกข์จะทำให้เกิดหาหนทางอย่างอื่นๆ เพื่อหาทางหลุดพ้น (ทุกข์)
Truth ความเข้าใจในเรื่องนั้น (สมุทัย)
Model มีรูปแบบ ตัวเแบบอย่างไร ที่จะทำ เป็นรูปแบบ เศรษฐกิจพอเพียง (ยุทธศาสตร์) ซึ่งจะต้องเข้าใจธรรมชาติ (นิโรธ)
Process วิธีการที่จะทำ จะไปไหน วิธีการอย่างไร (กฎธรรมชาติ รู้คน สุจริต น้ำใจ)
Fear (มรรค)
ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้นั้น จะต้องเริ่มต้นด้วย Courage
เมื่อเราดูแลจิตของตัวเองได้แล้ว จึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างอื่นได้ โดยจะเข้าพบความจริงได้จะต้องด้วย จิตที่บริสุทธิ์)

ความกล้าหาญ ที่จะสละแล้วซึ่งสิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์ เป็นสิ่งที่จะต้องใช้จิตที่บริสุทธิ์ ซึ่งถ้าหากเราทุกคนฝึกฝน และต้องมีความมุ่งมั่นอย่างแท้จริง ยืนยันในความกล้าหาญ ทิ้งในสิ่งที่เป็นสิ่งสูงสุดของตัวเอง กล้าหาญที่จะทิ้ง สละกิเลสทั้งหลายที่มีอยู่ให้ได้ หลุดพ้นจากความกลัว กล้าหาญกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง อารมณ์ที่กล้าที่ทำให้เกิดความเมตตา ดังนั้น ความกล้าหาญ จะทำให้เกิดประโยชน์อย่างมหาศาลต่อการเปลี่ยนแปลงใด พลังของความเมตตา จะทำให้เราสามารถช่วยเหลือคนอื่นๆ ได้ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ด้วยการเข้าไปพบความจริง ข้อเท็จจริง การเข้าพบกับความจริงจะเป็นการทำให้เราเข้าใจตั้งจิตได้ถูกต้อง การมีเมตตา กรุณา ทำให้จิตได้เรียนรู้ โดยเฉพาะการทำให้เราชนะตนเองด้วยจิตที่บริสุทธิ์ จะมีความสุขมากที่สุด การชนะหรือการจะเป็นอะไรก็ตามแต่ เราควรจะต้องตอบให้ได้ว่า เป็นแล้วเพื่ออะไร เป็นมีประโยชน์หรือไม่ เช่นกันในสังคมต่างๆ หากตราบใดที่มีความละเมิด ตราบใดที่มียังไม่มีความยุติธรรม ก็จะเกิดความไม่สงบ เกิดความต่อสู้ไม่มีวันจบสิ้น มนุษย์เราเมื่อพบจุดลำบาก หากเราได้รับน้ำใจจากคนอื่นๆ เราจะได้รับสิ่งนั้นฝั่งในจิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีความสุขจากการอดทน ซึ่งจะต้องฝึกฝนความอดทนตั้งแต่เด็กๆ เพื่อได้เรียนรู้ แล้วจะเกิดความสุข
สำหรับประเด็นเกี่ยวกับเรื่องของ จิต กับ เพลง สัมพันธ์ กับอย่างไร มีพลังอย่างไร ต่อการทำงาน ตัวอย่างเพลงมากมายที่สามารถทำให้จิตเกิดการเรียนรู้ มีพลัง เช่น I dreamed a dream, Street of London, Scarborough Fair ให้ความหมายที่ดีมากสำหรับการที่ได้เห็นได้รู้จักได้เรียนรู้โดยสามารถใช้จิต ซึ่งโดยส่วนมากเพลงลักษณะแบบนี้จะมีคลื่นความถี่ต่ำ เพื่อทำให้จิตสงบ มีสติ เกิดสมาธิ และปัญญา เป็นการเข้าถึงในระดับจิตสำนักของมนุษย์เรา

ข่าวต้นชั่วโมง การเป็นมหาวิทยาลัยมุกดาหาร

ข่าวต้นชั่วโมงศูนย์ข่าว สปข.2 วันที่ 11 กันยายน 2553 เวลา 11.10 น

ประชาชน จ.มุกดาหาร ร่วมเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย ผลักดันมหาวิทยาลัยมุกดาหาร

สำนักนายกรัฐมนตรี โดยสำนักงานร่วมเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย จัดโครงการเวทีรับฟังความคิดเห็นเพื่อร่วมเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย “ปฏิรูปประเทศไทยสัญจร:ภาคอีสาน” โดยได้ลงพื้นที่มายังจังหวัดมุกดาหาร เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนที่มาจากหลากหลายกลุ่มสาขาอาชีพ ทั้ง ด้านหัตถกรรม เกษตรกรรม ท่องเที่ยว ประมง และอื่น ๆ ตามการประกาศเริ่มต้นแผนปรองดองแห่งชาติ ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการเชิญชวนประชาชน 63 ล้านคน “ร่วมเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย” นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวในโอกาสที่ได้เดินทางลงพื้นที่มายังจังหวัดมุกดาหาร เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนว่า ข้อเสนอแนะที่ประชาชนได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นในประเด็นสำคัญ ๆ ทั้งการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน การท่องเที่ยว การเกษตร สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนด้านการเมืองการปกครอง ตลอดจนการพัฒนาระบบการศึกษาในพื้นที่ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการนำไปจัดทำพิมพ์เขียวปฏิรูปประเทศต่อไป โดยเฉพาะการผลักดันมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี วิทยาเขตมุกดาหาร ให้เป็นมหาวิทยาลัยมุกดาหาร ตามแนวทาง 1 จังหวัด 1 มหาวิทยาลัย/ส.ปชส.มุกดาหาร/ข่าว



อ้่างอิง 1. http://76.nationchannel.com/playvideo.php?id=111726
2. http://thainews.prd.go.th/view.php?m_newsid=255309100241&tb=N255309
3. http://www.prd2.in.th/index.php?option=com_docman&task=doc_details&gid=5982&Itemid=105


วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

Mukdahan U มหาวิทยาลัยมุกดาหารเฉลิมพระเกียรติ

วิทยาเขตมุกดาหาร กำลังประกาศรับสมัครอาจารย์ประจำสาขาบัญชี จำนวน 2 อัตรา

วิทยาเขตมุกดาหาร กำลังประกาศรับสมัครอาจารย์ประจำสาขาบัญชี จำนวน 2 อัตรา (เงินงบประมาณแผ่นดิน) ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.ubu.ac.th/~ubustaff/documents/post_limit.pdf


วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

โครงการจัดตั้ง มหาวิทยาลัยมุกดาหาร เฉลิมพระเกียรติ

โครงการจัดตั้ง มหาวิทยาลัยมุกดาหาร เฉลิมพระเกียรติ
ขั้นตอน
๑. จังหวัดมุกดาหาร (โดยผู้ว่าราชการ หัวหน้าส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาครัฐอื่นๆ ภาคเอกชน ประชาชน และ วิทยาเขตมุกดาหาร มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี) เสนอเรื่องความต้องการและโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยมุกดาหาร เฉลิมพระเกียรติ ต่อ สำนักคณะกรรมการการอุดมศึกษา รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ และคณะรัฐมนตรี เพื่อขอความเห็นชอบ (ซึ่งขั้นตอนนี้ จังหวัดมุกดาหาร อาจจะนำเสนอต่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิต วงศ์หนองเตย) ที่จะเดินทางมาตรวจราชการที่จังหวัดมุกดาหารในวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๒๕๓ ทั้งนี้ การจัดตั้งเป็นไปตามที่ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวไว้ว่า ๑ จังหวัด ๑ มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๓) โดยการปรับเปลี่ยนวิทยาเขตมุกดาหาร มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เป็น มหาวิทยาลัยมุกดาหาร เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ในวโรกาสที่พระองค์จะทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา ใน พ.ศ. ๒๕๕๔ และจะทรงเจริญพระชนมพรรษา ๙๐ พรรษา ใน พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามลำดับ
๒. เมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ จะต้องมีการจัดทำ (ร่าง) พระราชบัญญัติ มหาวิทยาลัยมุกดาหาร เฉลิมพระเกียรติ พ.ศ. . . . เพื่อเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร และ วุฒิสภา ตามลำดับ ซึ่งจะสามารถได้รับการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนในการดำเนินงานการเป็น มหาวิทยาลัยมุกดาหาร เฉลิมพระเกียรติ
ความหมายของสัญลักษณ์ มหาวิทยาลัยมุกดาหาร เฉลิมพระเกียรติ


หอแก้ว หมายถึง จังหวัดมุกดาหาร
ภูผาเจีย หมายถึง สถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัยที่มีอาคารเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา มหาราชา โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จทรงวางศิลาฤกษ์อาคารดังกล่าว เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๒
สะพานข้ามแม่น้ำโขง หมายถึง การเชื่อมต่อต่างประเทศเพื่อความเป็นนานาชาติ (ลาว เวียดนาม จีน และอื่นๆ)
วงกลม ๒ เส้น วงกลมเส้นใน หมายถึง ความสัมพันธ์ของอาจารย์ เจ้าหน้าที่ นักศึกษา ข้าราชการ ภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชนของจังหวัดมุกดาหาร ที่มีความสัมพันธ์อันดีในการพัฒนาการศึกษาร่วมกัน วงกลมเส้นนอก หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัยมุกดาหาร เฉลิมพระเกียรติ กับหน่วยงานภายนอกพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
ต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย คือ ต้นช้างน้าว เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดมุกดาหาร และเป็นต้นไม้ที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงปลูก ณ อาคารเทพรัตน์คุรุปการ จังหวัดมุกดาหาร เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๒

สัญลักษณ์สัตว์นำโชคของมหาวิทยาลัย คือ ช้าง เนื่องจากชื่อเป็นของต้นไม้ประจำจังหวัดมุกดาหารและประจำมหาวิทยาลัย คือ ต้นช้างน้าว ดังนั้น สัญญลักษณ์สัตว์นำโชคของมหาวิทยาลัย คือ ช้าง สำหรับ ช้าง เป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองเป็นสัญญลักษณ์ของประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นสัตว์ที่พระบรมมหากษัตรย์ของไทยในอดีตทรงใช้งานสำหรับพระราชกรณียกิจที่สำคัญ
สีน้ำเงินของเส้นวงกลมและตัวอักษร หมายถึง ความมั่นคง ความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
สีเหลืองของพื้นวงกลม หมายถึง ความอบอุ่น ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนทุกหมู่เหล่า และความอบอุ่นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อีกทั้ง เป็นสีของต้นช้างน้าว
จะเป็น มหาวิทยาลัยของชาวพื้นที่จังหวัดลุ่มน้ำโขง (จังหวัดมุกดาหาร) ที่เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ในวโรกาสที่พระองค์จะทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา ใน พ.ศ. ๒๕๕๔ และจะทรงเจริญพระชนมพรรษา ๙๐ พรรษา ใน พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามลำดับ เพื่อการพัฒนาพื้นที่อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงภายใต้การดำเนินงานตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
สาขาวิชาที่เปิดสอน จะเน้นสาขาวิชาตามยุทธศาสตร์ของจังหวัดมุกดาหาร คือ (๑) การค้าระหว่างประเทศ (๒) การท่องเที่ยว เป็นต้นว่า สาขาวิชาบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ สาขาวิชาการบัญชี สาขาวิชารัฐศาสตร์ (เพื่อท้องถิ่นและต่างประเทศ) สาขาวิชานิติศาสตร์ (เพื่อท้องถิ่นและต่างประเทศ) สาขาวิชาการจัดการทรัพยากรมนุษย์เพื่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สาขาวิชาการจัดการพืชเศรษฐกิจพื้นที่ลุ่มน้ำโขง สาขาวิชาภาษาศาสตร์ (อังกฤษ จีน เวียดนาม) เป็นต้น ซึ่งที่สำคัญในอนาคตจะต้องเป็นมหาวิทยาลัยมุ่งเน้นความเป็นนานาชาติ ทั้งนี้ ในอนาคตจะเปิดสอนปริญญาโทและเอกการค้าระหว่างประเทศ โดยความร่วมมือกับ University of Melourne ออสเตรเลีย มหาวิทยาลัยของจีน มหาวิทยาลัยของ สสป.ลาว และมหาวิทยาลัยของเวียดนาม
เป้าหมายการรับนักศึกษา
๑. นักศึกษา จากลูกหลานของชาวจังหวัดมุกดาหาร (โดยได้รับทุนการศึกษาจากองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อบต. ต่างๆ) และองค์การบริหารส่วนจังหวัดมุกดาหาร) และนักศึกษาจากจังหวัดใกล้เคียงที่ยังไม่มีมหาวิทยาลัย เช่น อำนาจเจริญ ยโสธร เป็นต้น
๒. นักศึกษา จากต่างประเทศ เช่น เวียดนาม จีน ลาว โดยในเบื้องต้นอาจจะเป็นโครงการการแลกเปลี่ยนนักศึกษา อาจารย์ผู้สอนภาษาจีน ภาษาไทย และภาษาเวียดนาม เป็นต้น
มนูญ ศรีวิรัตน์